สืบเนื่องจากปัญหาการลักลอบ ค้าสัตว์ป่า ได้ก่อให้เกิดปัญหาในระดับประเทศ ทำให้ประเทศไทย ของเราถูกประนามจาก ประชาคมโลก และประเทศเพื่อนบ้าน
เป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมายเช่น ผลกระทบทางด้านการท่องเที่ยว , การกีดกันทางการค้า การตั้งกำแพงภาษีขึ้นมาทำให้ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งผลให้
ระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมเสียหายเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริม
ให้เกิดค่านิยมในการเลี้ยง หรือล่าสัตว์ป่าเป็นจำนวนมากและยังเป็นการทำลายระบบนิเวศน์ แบบไม่รู้ตัว เนื่องจากผลกระทบจากระบบนิเวศน์ จะเกิดขึ้นในระยะยาว จะไม่ส่งผลในทันที จะเห็นได้จากปัจจุบัน เกิดโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ เกิดขึ้นมาตลอดเวลา เช่น ไข้หวัดนก ซึ่งได้เคย
มีนักชีววิทยา ได้เคยทำการวิจัยมาแล้ว ว่าผลของการเกิดโรคใหม่ นั้นมาจากการล่าสัตว์ป่า
เพิ่มมากขึ้น การทำลายระบบนิเวศน์ นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญที่พวกเราจะต้องหันเข้ามาแก้ไข
ปัญหากันอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ หากจะมองปัญหาดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเรานั้น ยังมีจุดอ่อนในเรื่องนี้
อย่างมาก จะเห็นได้จาก กฎหมายบางฉบับที่เกี่ยวข้องกับการค้าสัตว์ป่า ยังไม่ทันสมัย และ
บางฉบับยังมีการเอื้อประโยชน์ต่อกัน ดังเช่นในกรณีของช้าง มีกฎหมาย 2 ฉบับ ที่เอื้อ
ประโยชน์ต่อกัน เข่น พ.ร.บ.สงวน และคุ้มครองฯ และพ.ร.บ. สัตว์พาหนะที่เปิดช่องว่างให้มี
การจดทะเบียนช้างได้ ในช่วงอายุ 8 ปี แต่ในระหว่าง 1 8 ปี นั้น เป็นช่องว่างให้กลุ่มผู้ลักลอบ
ค้าสัตว์ป่า นำช้างจากที่อื่นมาสวมได้ จะเห็นได้ว่าปัญหาเหล่านี้ มิได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง แม้กระทั่งการออก กม. ที่เกี่ยวข้องมารองรับ เพื่อให้เกิดความรัดกุม ดังนั้นจะเป็นปัญหา
ช้างเร่ร่อน อยู่ในพื้นที่ กทม. และจังหวัดใกล้เคียงอยู่เป็นจำนวนมาก อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ประชาชนของเรา ยังขาดความรู้ความเข้าใจ รวมไปถึงผลกระทบในระบบนิเวศน์ และค่านิยม
ที่ผิด ที่คิดว่าการเลี้ยงสัตว์ป่า ไว้นั้น เป็นการประดับบารมี หรือเป็นการมีไว้เพื่อเป็นยาชูกำลัง และมีรายได้ดีจากการค้าสัตว์ป่าดังกล่าว ซึ่งประชาชนเห็นว่า การค้าสัตว์ป่ามีรายได้ดี บทลงโทษทางกฎหมายไม่รุนแรง ไม่ต้องเสียภาษี ทำให้เกิดค่านิยมในการเลียนแบบกัน
มากขึ้น นอกจากนี้สภาพแวดล้อม ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ป่าไม้ถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น ทำให้สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่อาศัย วงจรระบบนิเวศน์ถูกทำลาย หากปัญหาเหล่านี้ ประชาชน และหน่วยงานของรัฐ และภาคเอกชน ไม่ร่วมมือกัน ที่จะเข้าไป
แก้ไขปัญหา ซึ่งภายภาคหน้าจะเกิดปัญหา และวิกฤติการณ์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และ
ธรรมชาติ
จากปัญหาดังกล่าวมาข้างต้น ฯพณฯพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นรม. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และผลกระทบของปัญหาในระยะยาว จึงได้มีบัญชาให้ พล.ต.อ.ดร.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนรม. เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม ซึ่งท่าน พล.ต.อ.ดร.ชิดชัย ฯ จึงได้มี
คำสั่ง ศตส.ที่ 16/2548 ลง 16 พ.ค.2548 แต่งตั้งคณะทำงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลลักลอบ
ค้าสัตว์ป่า ขึ้นมา โดยมี พล.ต.ท.วันชัย ศรีนวลนัด ผช.ผบ.ตร. เป็นประธาน และมี พล.ต.ต.ดร.เสวก ปิ่นสินชัย ผบก.ปทส.ใน ขณะนั้น เป็นเลขานุการ ซึ่งคณะทำงาน ได้มีการ
ประสานงานการปฏิบัติงานในลักษณะแบบบูรณาการ และแสวงหาความร่วมมือจากภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้มีการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ได้ยึดแนวทางในการแก้ไขปัญหาตามแนวทางพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตรัสไว้ในโครงการพระราชดำริกับชาวเขาในที่สูงทางภาคเหนือ ความว่า
การนำกำลังเข้าปราบปรามมิใช่เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ยังจะเป็น
การสร้างความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติอีก โดยยึดหลัก เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา
ทางศูนย์ปราบปรามฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว และหวังว่าจะได้รับความ
ร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติหน้าที่จากภาครัฐ และภาคประชาชน ที่จะร่วมมือร่วมใจ แก้ไข
ปัญหาดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป
วัตถุประสงค์
- เพื่อป้องกัน และปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าให้หมดไป
- เพื่อสร้างทัศนคติ และค่านิยมแก่ประชาชนในเชิงบวก
- เพื่อฟื้นฟู และส่งเสริม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
- เพื่อสร้างแนวร่วมของภาครัฐ และภาคประชาชน ที่จะแก้ไชปัญหา
- เพื่อส่งเสริม และให้ความรู้แก่ประชาชนในทางที่ถูกต้อง
|